PRP

PRP (Platelet-Rich Plasma) คือ เทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่นำเอาเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นกว่าเกล็ดเลือดในกระแสโลหิตทั่วไป 3 – 4 เท่ามารักษาส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ได้รับการรับรองจากแพทย์ทั่วโลกว่าปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม การฉีด PRP เป็นที่นิยมทั่วโลก เพราะช่วยในเรื่องการฟื้นฟูเซลล์ ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ดูอ่อนเยาว์ลง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสภาพผิว โดยจะใช้เกล็ดเลือดของตัวเองในการรักษา ซึ่งในเกล็ดเลือดที่เรานำมาฉีดนั้น มีสารที่เรียกว่า Growth Factor ซึ่ง Growth Facetor เป็นสารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกาย มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเซลล์ให้เพิ่มจำนวน เจริญเติบโต และพัฒนาการของเซลล์ ซึ่งเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต จึงช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวหน้าที่ดูหย่อนคล้อยได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง
สาร Growth Factor ต่างๆใน PRP
- Platelet-derived growth factor (PDGF)
- Transforming growth-factor-beta TGF-b)
- Vascular endothelial growth factor (VEGF)
- Epidermal growth factor (EGF)
- Fibroblast growth factor-2 (FGF-2)
- Insulin-like growth factor (IGF
ผลลัพธ์ที่ได้จากทำ PRP จะอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนประมาณอาทิตย์ที่ 3 หลังทำการรักษา โดยควรทำการรักษาเดือนละ 1 ครั้ง ต่อเนื่อง 3 – 5 ครั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
กระบวนการของ PPR
- ทายาชาทิ้งไว้ 30 นาที
- เจาะเลือดจากข้อพับแขน โดยใช้เลือดประมาณ 30-60 cc
- นำเลือดมาปั่นเพื่อแยกเกร็ดเลือด ซึ่งเรียกว่า PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นชั้นที่จะนำมาใช้ เพราะในเกล็ดเลือดนี้จะมีสารที่เรียกว่าา Growth Factor
- ทำการฉีดเกล็ดเลือด PRP เข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ต้องการรักษา ขณะฉีดอาจจะเห็นว่ามีเลือดเป็นจุดๆกระจายทั่วหน้า เกิดจาก Derma Pen ซึ่งเป็นเครื่องมือที่แก้เรื่องหลุมบนใบหน้าและการเกิดจากการทำ Stamping ให้หน้าเกิดการบาดเจ็บก่อน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ
ระยะเวลาในการรักษา ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
ผลลัพธ์ที่ได้จากการรักษา
- ผิวหน้าเรียบเนียน ตึง กระชับ
- ใบหน้า เนีบย กระจ่างใสดูอ่อนวัย
- เร่งการซ่อมแซมและรักษาผิวจากการถูกทำลาย
- มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงโอกาส
- ในคนในวัย 40 ปีขึ้นไป จะเห็นผลชัดเจนกว่าคนอายุน้อย เพราะมีริ้วรอย และปัญหาผิวหน้ามากกว่า
วิธีการเตรียมตัวก่อนการรักษา
- ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ
- หากมีโรคประจำตัว หรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดมีความเข้มข้นและหนืดจนเกินไป
- งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 วัน
- งดการใช้ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่เสตอรอยด์ก่อนเข้ารับการรักษาเป็นเวลา 1 อาทิตย์
วิธีการดูแลหลังการรักษา
- ผิวหน้าแน่นและบวมเล็กน้อย อาจมีรอยจุดบวม หรือรอยช้ำประมาณ 3-4 วัน สามารถประคบเย็นได้
- ห้ามโดนน้ำ 24 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยง การนวดหน้า แสงแดด ฝุ่นละออง เพราะจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- สามารถทาครีมบำรุงได้ตามปกติยกเว้น ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของ AHA หรือสาร Whitening อื่นๆ
- หลีกเลี่ยงการล้างหน้าภายใน 4-5 ชั่วโมงแรกของการรักษา
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และออกกำลังกายอย่างหนัก
- ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษา
รีวิวจากผู้ใช้บริการ
*ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล
*ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล
*ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล
*ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละบุคคล