top of page

ดูดไขมันร่างกาย

 การดูดไขมัน (Liposuction) คือ ก็คือการศัลยกรรมประเภทหนึ่ง ช่วยกำจัดปัญหาส่วนเกินได้อย่างตรงจุด ยกตัวอย่างเช่นไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง, ต้นแขน, ต้นขา, เอว หรือเหนียง และด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยทุ่นแรง จึงทำให้ปัจจุบันการดูดไขมันมีความปลอดภัย และเห็นผลชัดเจนมากหลังทำ ทั้งนี้ต้องตรวจสอบมาตราฐานความปลอดภัยตั้งแต่ห้องผ่าตัด ไปจนถึงแพทย์ผู้ลงมือทำ และการดูดไขมัน นั้นหลายต่อหลายคนมักเข้าใจว่า การดูดไขมันคือการลดน้ำหนัก ทำการศัลยกรรมแล้วน้ำหนักต้องลด แต่ความจริงนั้นการดูดไขมันคือการนำไขมันสะสม หรือส่วนเกินออก ทำให้บริเวณที่ทำการดูดไขมันมีความกระชับ มากขึ้นมากกว่าน้ำหนักลดทั้งตัว และหลังดูดก็ยังมีสิทธิ์กลับมามีส่วนเกินได้เช่นกัน

ดูดไขมันหน้าท้องมีกี่วิธี?

ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการดูดไขมันหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้มีความสะดวก รวดเร็ว ลดความเจ็บปวด ลดร่องรอยแผลให้ได้มากที่สุด ตลอดจนดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น สำหรับวิธีหลักๆ ที่นิยมใช้ ได้แก่

1. การดูดไขมันแบบเวเซอร์ (The Vibration Amplification of Sound Energy at Resonance: VASER Liposuction) คือการดูดไขมันด้วยเการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์สลายไขมัน ก่อนจะดูดออกมา ทำให้รอยแผลเล็ก และไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น เซลล์ประสาทหรือหลอดเลือด ส่งผลให้ฟื้นตัวเร็ว แผลหายไว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมันปริมาณมาก โดยไม่ต้องพักนาน

2. การดูดไขมันด้วยคลื่นไฟฟ้า (Body Tite) คือการใช้เทคนิคพลังงานคลื่นวิทยุร่วมกับคลื่นความร้อนเข้าไปละลายไขมันให้แตกตัว ซึ่งให้ผลลัพธ์ 2 อย่างคือการกำจัดไขมันและการยกกระชับผิวไปในตัว โดยสามารถกระชับผิวให้ได้สัดส่วน มากกว่าการกำจัดไขมันด้วยวิธีอื่น จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่พึ่งคลอด ผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อย หรือผู้ที่มีไขมันสะสม

3. การดูดไขมันด้วยพลังน้ำ (Water Jet หรือ Body Jet) คือเทคนิคการใช้พลังงานน้ำเข้าไปแยกเซลล์ไขมันออกจากเนื้อเยื่อผิวหนังก่อนดูดไขมันออกมา ซึ่งเซลล์ไขมันที่ถูกดูดออกมานั้น สามารถนำไปเติมเต็มร่างกายส่วนอื่นที่ต้องการได้ เช่น หน้าอก สะโพก หรือร่องลึกบริเวณใบหน้า เช่น ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก นอกจากนี้ วิธีนี้จะมีความอ่อนโยนต่อเนื้อเยื่อข้างเคียงมาก จึงแทบไม่ทิ้งร่องรอยและไม่ต้องพักฟื้นนาน แต่โดยทั่วไปจะมีราคาสูงกว่าวิธีอื่น ดังนั้นหากไม่ต้องการนำไขมันไปเติมส่วนอื่นของร่างกาย ก็สามารถเลือกใช้วิธีอื่นได้

4. การดูดไขมันแบบพาวเวอร์ (Power Assisted Liposuction: PAL) เป็นการดูดไขมันแบบใช้การสั่นสะเทือน คล้ายการดูดไขมันด้วยท่อแบบเก่า แต่ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยกว่า มีประสิทธิภาพในการแยกชั้นไขมันที่สะสมมานานจนเป็นพังผืดได้ดี สามารถสลายไขมันได้ในปริมาณมาก ซึ่งได้ผลดีกับบริเวณหน้าท้องและไขมันบริเวณรอบเอว ทั้งนี้การดูดไขมันด้วยวิธีนี้จะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อครั้ง และต้องวางยาสลบ

225305196_2606833162955425_3069566285529079249_n.jpg
226336065_2606833206288754_7673394070186200325_n.jpg

หลักการทำงาน RF assisted liposuction

นับเป็นการปฏิวัติการดูดไขมันครั้งสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่เพียงดูดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยทำให้ผิวที่ไขมันถูกดูดออกไปแล้วกลับมาเรียบ กระชับตึงขึ้นอีกด้วย ซึ่งเป็นความฝันของแพทย์ที่ดูดไขมันทุกคนเพราะ Body Tite ใช้พลังงาน RF แบบเดียวกับเทอร์มาจที่เราใช้ในการยกกระชับหน้า พลังงาน RF ไม่เพียงแต่ลงไปสลายผนังเซลล์ไขมัน ที่จับตัวกันเป็นก้อน แต่ยังลงไปเปลี่ยนโครงสร้างและปัจจัยทางชีวเคมีในบริเวณนั้น เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการไหลเวียนของน้ำเหลือง ทำให้ขณะที่กำลังสลายไขมันก็จะได้ผลของการกระชับผิวหนังไปพร้อมๆ กัน พร้อมทั้งช่วยขจัดเซลลูไลท์ออกไปด้วย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือเดียวในการดูดไขมันที่สามารถฟื้นฟูคอลลาเจน ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ยากกว่าการดูดไขมันแบบเดิม (Face Tite)

ข้อดี – ข้อเสีย

สิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่การคิดค้นพัฒนาการของเครื่องมักจะได้ผลดีกว่า เพราะสามารถแก้ปัญหาและจุดบกพร่องของเครื่องมือแบบเดิมได้ เช่น ใช้ระยะเวลาในการทำสั้นลง ความบอบช้ำและความเจ็บน้อยลง เห็นผลการรักษาชัดเจน โดยเฉพาะหลักการในการใช้ พลัง RF Assisted Liposuction ทำให้หลังไขมันถูกกำจัดออกไป จะช่วยให้เนื้อผิวกระชับตึงเรียบได้ไปในตัว ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบกับเครื่องมือแบบเดิม นอกจากนี้ยังสามารถฟื้นฟูคอลลาเจน ทำให้ผิวมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น ทำให้โอกาสที่ไขมันจะกลับมาสะสมใหม่ยากกว่าการดูดไขมันแบบเดิมอีกด้วย ส่วนข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการทำ (ราคาขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำ เช่นหน้าท้อง ท้องแขน ต้นขา ก้น หรือบริเวณใบหน้า)

เรื่องที่ควรรู้ก่อนทำการดูดไขมัน

·การดูดไขมันไม่ได้ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพร่างกาย เพียงแค่ช่วยปรับความกระชับ ลดปัญหาหุ่นพังเฉพาะส่วน

·คนไข้อาจรู้สึกเจ็บระหว่างดูดไขมันได้

·อาจมีผลข้างเคียงอย่างอาการเจ็บ บวมช้ำ ในระยะยาวหลังจากดูดไขมัน (กรณีแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ หรือคนไข้ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด)

·ต้องใช้เวลาในพักฟื้นร่างกายสักระยะ จึงทำให้อาจต้องลางาน หรือหาวันหยุดยาวไปทำ

·มีโอกาสที่จะเกิดผิวไม่เรียบ หย่อนคล้อยได้ (เกิดได้จากคนไข้ที่มีรูปร่างใหญ่ หรือมีไขมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก อาจส่งผลทำให้การดูดออกมาแล้ว ผิวหนังไม่กระชับได้)

บริเวณไหนบ้าง? ที่คนนิยมดูดไขมันส่วนเกิน

การดูดไขมันด้วยเทคนิคนี้ยังได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก เนื่องจากมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงเป็นการปรับรูปร่างให้มีความสวยงาม สัดส่วนกระชับ และยังทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ได้รับการรับรองจาก US FDA สามารถทำได้หลายส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าท้อง, รอบเอว, สะโพก, ต้นขา, ต้นแขน, น่องและปีกหลัง แต่การทำให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยนั้น ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยร่วมกันทั้งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรวมถึงเครื่องมือที่ใช้ต้องได้มาตรฐาน

ไขมันส่วนเกินเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนกังวลใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง บางครั้งการออกกำลังกายมักเห็นผลไม่ทันใจในเวลาที่เราต้องการอวดเรือนร่าง เช่น การออกงานสำคัญ และงานแต่งงานของตัวเอง ดังนั้นเราจะปล่อยให้ตัวเองไม่มีความมั่นใจไม่ได้ การดูดไขมันจึงเป็นทางออกที่ใช้ในการแก้ปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด มาดูกันดีกว่าค่ะว่าจุดไหนที่คนนิยมกำจัดไขมันบนร่างกาย 

  • เหนียง เป็นจุดที่มีไขมันหนาแน่นเท่าบริเวณอื่น ๆ แต่สามารถกำจัดได้ยาก เพราะเป็นบริเวณที่เราไม่สามารถออกกำลังกายเพื่อเปลี่ยนไขมันมาเป็นกล้ามเนื้อได้

  • ต้นแขน เป็นจุดยอดนิยมในการดูดไขมัน เพราะเป็นส่วนที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนบนร่างกาย หากดูแลตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ต้นแขนก็อาจมีอาการหย่อนคล้อยบ้าง

  • หน้าท้อง เป็นจุดที่ใหญ่ที่สุดและมีไขมันหนาแน่นที่สุดบนร่างกาย โดยเหมาะกับผู้ที่มีหน้าท้องยื่น หย่อนคล้อย หรือมีน้ำหนักมากเกินมาตรฐานและลดลงมาภายระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งการออกกำลังกายก็ไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ในบางจุดและไม่สามารถกระชับผิวหน้าท้องได้ด้วยตนเอง จึงต้องอาศัยแพทย์เข้ามาช่วย

  • สะโพก เป็นการดูดไขมันส่วนเกินบริเวณสะโพก มักเป็นที่นิยมสำหรับสาว ๆ ที่มีไขมันสะสมเป็นจำนวนมาก เวลาใส่กางเกง เนื้อจะปลิ้น ดูไม่สวยงาม หากไม่ดูแลหุ่นอย่างสม่ำเสมอ สะโพกสามารถขยายออกไปได้อีกเรื่อย ๆ ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการดูดไขมัน

  • ต้นขา เป็นจุดที่ลดไขมันได้ยากแม้ควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้วก็ตาม ปัญหาสำหรับไขมันบริเวณต้นขา คือ ขาเบียด เวลาเดินแล้วผิวหนังเสียดสีกัน ทำให้เกิดความคล้ำเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง

คนที่เหมาะกับการดูดไขมันคือ ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย โดยไขมันที่ดูดจะเป็นไขมันที่อยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง ไม่ส่งผลอันตรายต่อร่างกาย แต่ไขมันมีผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกเพียงเท่านั้น ทำให้เราดูอ้วน ไม่มั่นใจ หลาย ๆ คนจึงมักเลือกดูดไขมัน แต่ใครกันบ้างที่เหมาะกับการดูดไขมันมีดังนี้

o  คนที่มีน้ำหนักตัวน้อยแต่มีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน เช่น รูปร่างเล็กแต่มีต้นขา หรือต้นแขนที่ใหญ่ ผอมแต่มีพุงยื่นออกมา ทำให้ร่างกายไม่สมส่วน เป็นต้น

o  มีไขมันบริเวณแก้มเยอะ มีคางสองชั้น และกรอบหน้าดูไม่ค่อยชัดเจน

o  ไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย แต่ต้องการมีหุ่นสวยกระชับแบบเร่งด่วน

o  คนที่ไม่ได้อ้วนทั้งตัว แต่มีการสะสมของไขมันเฉพาะส่วนอยู่ในปริมาณมาก

o  คนที่มีไขมันสะสม ไม่สามารถลดได้ด้วยการออกกำลังกาย และการคุมอาหาร จะเหมาะสำหรับการดูดไขมันเพื่อกระชับสัดส่วน

o  คุณแม่ที่มีหน้าท้องหย่อนยาน หรือผิวหนังย้วยหลังจากคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ อาจเหมาะกับการดูดไขมันบริเวณหน้าท้อง เพื่อกระชับสัดส่วนให้กลับมาปกติแนะนำให้ออกกำลังกาย และควบคุมอาหารไปพร้อมกัน 

ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการดูดไขมัน

เมื่อมีกลุ่มคนที่เหมาะกับการดูดไขมันแล้ว เดียวจะพาไปดูลักษณะของคนที่ไม่ควรกำจัดไขมันส่วนเกินกันบ้าง เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง และป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นไปดูกันว่ามีอะไรบ้างตามนี้

1. คนที่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด และการฟื้นตัวหลังทำ : เช่น โรคความดันสูง, โรคเบาหวาน, โรคภูมิแพ้ตัวเอง, โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคเลือดบางชนิด เนื่องจากสามารถส่งผลต่อการฟื้นตัว และกระตุ้นภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่ายนั่นเองค่ะ 

2. คนที่เป็นโรคซึมเศร้า และอยู่ในช่วงรักษาตัว : การใช้ยาบางชนิดที่กำลังรักษาตัวอยู่นั้น อาจทำให้ฤทธิ์ของยาชาเฉพาะที่ไม่ได้ผล แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้คนไข้ทำการงดยาก่อนเข้าทำหัตถการ และต้องผ่านการวินิจฉัยกับจิตแพทย์อย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เองค่ะ

3. คนที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออ้วนมาก (BMI > 30) : การกำจัดไขมันในแต่ละครั้ง สามารถดูดได้สูงสุดไม่เกิน 10 ลิตร ดังนั้นถ้าน้ำหนักตัวคนไข้ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด แม้จะผ่านการดูดไขมันไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสกลับมาอ้วนได้อีกครั้งค่ะ ยิ่งเป็นกรณีที่ต้องทำการลดไขมันเฉพาะจุด จึงเหมาะกับคนที่มีน้ำหนักคงที่

4. คนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองหลังทำ : จริง ๆ แล้วสิ่งสำคัญที่คนไข้ควรรู้เป็นลำดับแรกเลย คือ การทำศัลยกรรมทุกอย่างต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งก่อน และหลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลลัพธ์จากการรักษาไปในทางที่ดี

5. คนที่มีผิวหนังหย่อนคล้อย : การดูดไขมันจะยิ่งทำให้เห็นความหย่อนคล้อย ถึงแม้จะมีเทคโนโลยี หรือเครื่องมือที่ช่วยในการยกกระชับ แต่จะสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อยประมาณ 30 – 50 % เท่านั้น 

การเตรียมตัวก่อนทำ

·  แจ้งให้แพทย์ทราบข้อมูลโรคประจำตัว ยาโรคประจำตัว, ประวัติการผ่าตัด, ประวัติการแพ้ยา, ประวัติการแพ้อาหาร (หากมีประวัติการรักษาจากโรงพยาบาล ควรนำมาในวันปรึกษาด้วย) หรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด

· ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือยาโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการผ่าตัดหรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด

· งดทานวิตามินอาหารเสริมต่าง ๆ ทุกชนิด เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย เมล็ดองุ่น โสม ฯลฯ ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน

· ควรสระผมให้สะอาดเรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด และไม่แต่งหน้าในวันผ่าตัด งดใส่คอนแทคเลนส์ในวันผ่าตัด หากมีปัญหาด้านสายตาให้สวมแว่นสายตาแทน

· งดใส่เครื่องประดับทุกชนิด เช่น ต่างหู สร้อย แหวน จิลต่าง ๆ บนร่างกายในวันผ่าตัด (หากถอดออกไม่ได้ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ)

· งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด เนื่องจากสารที่อยู่ในบุหรี่มีผลลดปริมาณออกซิเจนในเลือดและทำลายเซลล์ที่จะซ่อมแซมการหายของแผล มีผลทำให้เลือดที่จะมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ผ่าตัดลดลง โดยมีโอกาสให้ผิวหนังที่ผ่าตัดขาดออกซิเจน ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้

· งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วันก่อนผ่าตัด และต่อเนื่องอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด

· ก่อนการผ่าตัด คนไข้ต้องทำความสะอาดเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด งดการทาเล็บมือ, เล็บเท้า และงดการต่อเล็บทุกชนิด

· เตรียมภาวะจิตใจให้พร้อม ไม่ควรตื่นเต้นมากเกินไป และควรทราบว่าหลังผ่าตัดย่อมเกิดการบวมช้ำบริเวณแผล และการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า หรือบริเวณร่างกายที่ทำการผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาในการหายของแผลหรือความเคยชินกับภาพลักษณ์ใหม่

 

206245904_2584065088565566_1179677430169707791_n.jpg

การดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

1.     รับประทานยาฆ่าเชื้อตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

2.     ทำความสะอาดแผลทุกวันจนกว่าจะตัดไหม เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือภาวะอักเสบต่างๆ

3.     ดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร 

4.     หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง หรือของแสลงเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

5.     หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำ จนกว่าแผลจะแห้งสนิท เพราะถ้าแผลผ่าตัดอับชื้นจะทำให้ติดเชื้อได้ง่ายค่ะ

6.     ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมช้ำ และสามารถประคบอุ่นได้หลังจากวันที่ 3

7.     งดดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เพราะมีสารที่ส่งผลทำให้แผลหายได้ช้าค่ะ

8.     สวมใส่ชุดยกกระชับตามคำแนะนำของแพทย์ 

9.     งดการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมหนักที่ส่งผลต่อบริเวณแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันแผลฉีกขาด

การดูแลหลังทำ

-        อาจมีอาการบวมเขียวช้ำได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยไม่ส่งผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน

-        วันรุ่งขึ้นสามารถแกะผ้าที่รัดเอาไว้ออกได้ แล้วเปลี่ยนมาใส่ชุด Support แทน ตลอด 24 ชั่วโมงในช่วง 1 เดือนแรก

-        รับประทานยาติดต่อกันตามแพทย์สั่งอย่าให้ขาด ถ้ามีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้

-        ในช่วง 2-3 วันแรก อาจขยับตัวลำบาก อันเนื่องมาจากอาการปวดหลังการทำ (อาการจะคล้ายการปวดกล้ามเนื้อ)

-        สามารถพบอาการเจ็บแสบๆ ตึง ๆ ที่ผิวได้หลังทำ อาการจะดีขึ้นหลัง 1 เดือน ปกติใน 4-6 เดือน

-        ช่วง 1-3 วันแรก อาจมีน้ำหรือเลือดซึมออกจากแผลได้ถือเป็นเรื่องปกติ ที่สามาถเกิดขึ้นได้

-        เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนหลังทำทันที บางรายอาจต้องรออาการบวมยุบตัวลง 2-4 สัปดาห์ขึ้นไป

-        หลังดูดไขมันแล้วผลจะถาวรได้จะต้องมีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

-        สามารถอาบน้ำได้ตามปกติแต่ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำถ้าแผลโดนน้ำให้เช็ดแผลให้แห้ง (แนะนำให้ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ)

-        งดการออกกำลังกายหรือทำงานหนักที่ทำให้เกิดการกระทบเทือน อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์

-        ควรใส่ชุดกระชับ Support บริเวณที่ดูดไขมันโดยถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก ควรใส่ติดต่อกันนาน 2-3 เดือน ถ้ายิ่งใส่นานยิ่งเป็นผล

bottom of page