ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มผิวประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด ( Hyaluronic Acid ) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “HA” สารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำ และความชุ่มชื้น (Hydration) เติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและเพิ่มความยืดหยุ่นใต้ผิวหนัง (Increase Elasticity) เต่งตึง ดูสุขภาพดี เรียบเนียนและช่วยลดริ้วรอยได้ คุณสมบัติของฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกอย่าง ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับเท่านั้น แต่ยังฉีดฟิลเลอร์ทั้งหน้าได้ โดยสามารถนำมาใช้ในการปรับแก้ไขรูปหน้าให้สวยงาม เช่น ปรับคางให้ดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางตัด คางถอย และช่วยปรับรูปปากกระจับ ปากสายฝอ ปากสายเกา และทรงอื่น ๆ ตามต้องการได้อีกด้วย
เมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าก็จะเริ่มมีกระบวนการที่เข้าสู่วัยชรา (Facial aging process) ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไป อายุที่มากขึ้น ผสมกับแรงโน้มถ่วงของโลก ก็จะทำให้เกิดความเสื่อมของ ผิวหนัง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง(soft tissue) และส่วนอื่น ๆ ที่ลึกลงไป โดยเราจะพบสิ่งเหล่านี้กับใบหน้าของเรา
1. สูญเสียความยืดหยุ่นของผิว (Loss of skin elasticity) จากการที่ collagen ในผิวค่อย ๆ ลดลง
2. ปริมาณของชั้นไขมันที่ลดลง (Facial volume reduction) โดยการที่เซลล์ไขมันใต้ผิวหนังค่อย ๆ หายไป มีการกระจายตัวที่เปลี่ยนแปลงไป บางตำแหน่งบางลง บางตำแหน่งหนาขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วง
3. กระดูกมีการสลายไป (Progressive bone resorption) เมื่อกระดูกมีการเปลี่ยนรูป ก็ทำให้โครงหน้าเปลี่ยนไป และเริ่มดูชรามากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างต่าง ๆ บนใบหน้า
1.การเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูก (Skeletal Structure)
-
ใบหน้าสั้นลง แต่กว้างมากขึ้น(ทั้งด้านหน้า และด้านข้าง)
-
เบ้าตาใหญ่ขึ้น
-
กระดูกขากรรไกรบนเล็กลง (maxilla) ทำให้มีร่องแก้มมากขึ้น และไม่มีตัวดันริมฝีปากบน ทำให้มีรอยย่นรอบ ๆ ปากมากขึ้น
-
คางยื่น
2.ชั้นไขมันมีการเปลี่ยนแปลง (Subcutaneous Fat Distribution)
-
ใบหน้าเด็กจะมีชั้นไขมันที่กระจายตัวสม่ำเสมอ เนียนทั่วกันทั้งใบหน้า เป็นเส้นโค้งสวยงาม
-
เส้นโค้ง (arc) ส่วนที่สำคัญมี 3 ตำแหน่งคือ หน้าผาก โหนกแก้มด้านข้าง(ต้องโค้งนูนเชื่อมต่อตั้งแต่เปลือกตาล่างมาถึงแก้ม) และ กราม (เส้นโค้งตั้งแต่ขากรรไกรด้านข้างมาถึงคาง)
-
เมื่อสูงอายุ เส้นโค้งที่สวยงามเหล่านี้จะหายไป สาเหตจากการที่ไขมันในบางตำแหน่งหายไป (รอบดวงตา , หน้าผาก , ขมับ , โหนกแก้ม , กราม , คาง , หว่างคิ้ว และรอบปาก)
สามารถรักษาได้กับส่วนใด?
ส่วนที่พบว่ามีการรักษาโดยมาก คือ บริเวณ ร่องแก้ม ร่องน้ำตา ริมฝีปาก และริ้วรอยระหว่างปลายจมูกถึงริมฝีปาก โดยสามารถรักษาได้ตั้งแต่ริ้วรอยที่ตื้นไปจนถึงริ้วรอยลึกมากที่ยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้แพทย์ยังสามารถให้คำแนะนำแก่ท่านในการใช้สารเติมเต็มนี้เพื่อช่วยในการปรับรูปหน้า ให้ดูเด็กขึ้น และส่วนอื่นๆ ที่ท่านต้องการรักษาได้ เช่น โหนกแก้ม ขมับ เสริมรูปคาง เพื่อเพิ่มให้ใบหน้าดูมีมิติและได้รูปทรงที่สวยงามมากขึ้น
หลังการรักษาจะเป็นอย่างไร?
ภายหลังการรักษา บริเวณที่รับการรักษาอาจมีรอยแดง รอยบวมเล็กน้อย อาจจะรู้สึกนิ่มหรือคันในบริเวณที่ได้รับการรักษา โดยความรู้สึกเหล่านี้จะหายไปในระยะเวลาเพียง 2-3 วัน สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ที่ริมฝีปากนั้น ริมฝีปากของท่านจะบวม และไม่สม่ำเสมอประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นริมฝีปากของท่านจะดูเต่งตึงเป็นปกติ
จะเห็นผลการรักษาเมื่อไหร่?
คุณสามารถเห็นผลการรักษาได้ในทันที
หลังการรักษาต้องดูแลตนเองอย่างไร?
1. หลังการรักษา 48 ชั่วโมงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนวดผิวหรือการทำทรีตเม้นท์ผิวในบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม หากท่านเข้ารับการฉีดสารเติมเต็มนี้ที่ริมฝีปากเพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม ท่านควรหลีกเลี่ยงการย่นริมฝีปากภายในช่วง 2 วันแรกภายหลังการรักษา หรือรอจนกว่ารอยบวม และรอยแดงจะจางหายไป นอกจากนี้ท่านควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งที่เย็นจัดหรือร้อนจัดในบริเวณที่ได้รับการรักษาด้วย
2. งดการทำทรีตเม้นท์หน้า อบไอน้ำ ซาวน์หน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์
3. งดการดื่มสุราแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์
4. รอยเขียวหรือรอยช้ำสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน
5. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ไฮยาลูโรนิกเกิดการฟูตัวเต็มที่
6. ถ้ามีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ได้แก่ หลังฉีดไปมีอาการปวดมากขึ้นๆ แม้กระทั่งฉีดเสร็จแล้วก็ยังปวดเป็นลำดับมากขึ้นภายใน 24 ชม. หรือ มีอาการเขียวช้ำภายใน 24 ชม.และปริมาณรอยเขียวกว้างขึ้นๆ ภายใน 24 ชม.หลังฉีด เป็นต้น ให้รีบมาพบแพทย์ทันที ห้ามรอจนอาการแย่ลง
7. ห้ามทำบริเวณผิวหนังอักเสบ หรือ ติดเชื้อยู่
สารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูโรนิคนี้สามารถเอาออกได้หรือไม่?
สารเติมเต็มประเภทนี้สามารถนำออกได้ในทันที แต่ปกติจะสูญสลายไปเองตามธรรมชาติ หากท่านมีปัญหาจากการฉีดมากเกินไป ท่านสามารถปรึกษา แพทย์เพื่อให้แพทย์แนะนำการฉีดยาละลายสารนี้ได้
เจ็บหรือไม่
ปกติจะมีการฉีดยาชาเฉพาะที่เพื่อลดอาการเจ็บปวด คนไข้จะรู้สึกเพียงช่วงเวลาฉีดยาชา ระหว่างฉีดสารเติมเต็มจะไม่รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ปัจจุบันมีการใช้สารไฮยาลูโรนิคผสมยาชา ทำให้ยิ่งลดความเจ็บปวดในระหว่างการรักษาได้ดีอีกด้วย
ก่อนมารับการรักษาควรงดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นเลือดขยายตัวมากเกินไป และควรหยุดยาบางชนิด เช่น ยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วันก่อนฉีด อาหารเสริมบางชนิด เช่น ใบแป๊ะก๊วย เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น ซึ่งก่อนรับการฉีดสารเติมเต็มควรปรึกษาและให้ข้อมูลทางสุขภาพกับแพทย์ผู้ทำการรักษาก่อนทุกครั้ง และถ้ามีประวัติการแพ้ยาชาจำเป็นต้องแจ้งก่อนเสมอ
ใครห้ามฉีดฟิลเลอร์
-
ผู้ที่มีประวัติแพ้สาร HYALURONIC ACID
-
ผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
-
ผู้ที่แพ้ยาชา
-
ผู้ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร
-
ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคียลอยด์ง่าย